วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คำนาม

คำนาม  คือ  คำที่ใช้เรียกชื่อ  อาจจะเป็นชื่อของคน  สัตว์  สิ่งของ  สถานที่สภาพอาการ  ทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน  แบ่งออกเป็น  ๕  ชนิด
   ๑. นามทั่วไป  ( สามานยนาม )  คือ  คำนามที่ใช้เรียกชื่อสิ่งต่าง ๆ  ไม่เฉพาะเจาะจงลงไปว่าคนสัตว์ตัวใด  หรือสิ่งของใด  เช่น  กระเป๋า  โต๊ะ  เก้าอี้  ตู้เย็น  โทรศัพท์
   ๒. นามเฉพาะ  ( วิสามานยนาม )  คือ  คำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของคน  สัตว์  สิ่งของ  หรือสิ่งอื่น ๆ  เช่น  เบญมาศ  สมชาย  ย่าเหล  บำรุงเมือง  กรุงเทพฯ  วัดเบญจมบพิตร
   ๓.  นามหมวดหมู่  ( สมุหนาม )  คือ  คำนามที่บอกหมวดหมู่ของนามข้างหลัง  เช่น  เหล่าลูกเสือ  พวกชาวบ้าน  กองทหาร  คณะครูอาจารย์  ฝูงลิง  โขลงช้าง
   ๔.  นามบอกอาการหรือความเป็นอยู่  (  อาการนาม  )  คือ  คำนามที่สร้างขึ้นจากคำกริยาหรือวิเศษณ์  เพื่อบอกลักษณะอาการหรือความเป็นอยู่  เช่น  ความดี  ความสุข  ความเจริญ  ความยิ่งใหญ่  ความคิด  ความเสื่อม  การเดิน  การพูด  การแข่งขัน



แบบฝึกหัด เรื่อง คำนาม


คำสรรพนาม



                คำสรรพนาม  คือ  คำที่ใช้แทนนามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น  เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกล่าวคำนามนั้นซ้ำอีก  แบ่งออกเป็น  ๖  ชนิด  คือ
                ๑.  สรรพนามใช้ในการพูดจา  (บุรุษสรรพนาม)  เป็นสรรพนามที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างผู้พูด  ผู้ฟัง  และผู้ที่ถูกกล่าวถึง  ได้แก่
                     ก.  แทนผู้พูดหรือผู้ส่งสาร  (บุรุษที่ ๑)  เช่น  ฉัน  ข้าพเจ้า  กระผม  ดิฉัน  ข้าพระพุทธเจ้า
                     ข.  แทนผู้ฟังหรือผู้รับสาร  (บุรุษที่ ๒)  ท่าน  คุณ  เธอ  ใต้เท้า  ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
                     ค.  แทนผู้ที่ถูกกล่าวถึง  (บุรุษที่ ๓)  เช่น  เขา  ท่าน  แก  มัน  พระองค์
                ๒.  สรรพนามแสดงคำถาม  (ปฤจฉาสรรพนาม)  เป็นสรรพนามที่ใช้เป็นคำถามต้องการคำตอบ  จะใช้คำ  ใคร  อะไร  ที่ไหน  ผู้ใด  เช่น  ใครมา  อะไรหาย  ไหนเป็นสมุดของเธอ
                ๓.  สรรพนามแทนนามบอกความชี้ซ้ำ  (วิภาคสรรพนาม)  เป็นสรรพนามที่ใช้แทนนามที่กล่าวแล้วข้างหน้า  โดยชี้ซ้ำอีกครั้งหนึ่งและเพื่อแสดงความหมายแยกออกเป็นส่วน ๆ  จะใช้คำว่า  ต่าง  บ้าง  กัน  เช่น  นักมวยชกกัน  ทหารบ้างยิงปืนบ้างขุดสนามเพลาะ  นักเรียนต่างอ่านหนังสือ

                     คำ  กัน  บ้าง  ต่าง  ที่ไม่ได้แทนนามที่อยู่ข้างหน้า  ไม่เป็นสรรพนาม  เช่น  นักเรียนคุยกัน  ขอฉันเล่นหมากรุกบ้าง  ต่างคนก็ต่างทำงาน  ในกรณีนี้  คำ  กัน  บ้าง  ต่าง  เป็นคำวิเศษณ์
                 ๔.  สรรพนามบอกความไม่บ่งเฉพาะ   (อนิยมสรรพนาม)  เป็นสรรพนามที่กล่าวถึงโดยไม่เป็นคำถามและไม่ต้องการคำตอบ  กล่าวในเชิงปรารภ  เช่น  ใคร ๆ  ก็ชอบคนดี,  ใด ๆ  ล้วนอนิจจัง,  รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา
๕.  สรรพนามบอกความบ่งเฉพาะหรือชี้ระยะ  (นิยมสรรพนาม)  เป็นสรรพนามกำหนดระยะใกล้ไกล  เพื่อระบุให้ชัดเจนยิ่งขึ้น  เช่น  นี่คือเรียงความของฉัน,  นั่นหนังสือรวบรวมบทร้อยกรอง,  โน่นคืดผลงานประดิษฐ์ของนักเรียนชั้น  ม. ๑
                     นี่  นั่น  โน่น  บอกความใกล้ไกลออกไปตามลำดับ
๖.  สรรพนามเชื่อมประโยค  (ประพันธสรรพนาม)  เป็นสรรพนามที่ทำหน้าที่แทนนามข้างหน้าและเชื่อมนามนั้นกับประโยคที่ตามมา  เช่น 
                     นักเรียนที่ทำผิดย่อมได้รับโทษ
                     สุนัขซึ่งซื่อมาจากสวนจัตุจักรเป็นพันธุ์บางแก้ว
                      คำ  ที่  ซึ่ง  อัน  ที่ไม่ได้แทนนามไม่เป็นสรรพนาม  เช่น
                     เขายืนอยู่ที่สนามหญ้า
                     เขาตำหนิเพื่อนซึ่งหน้า

                                       ฉันเหลาไม้  ๒  อัน


เกร็ดควรรู้  สรรพนามที่ใช้ในการพูดจาหรือบุรุษสรรพนาม  เช่น  ท่าน  เธอ  มัน  ถึงแม้จะนำไปใช้ทำหน้าที่อื่นที่นอกจากแทนนามแล้ว  เช่น  ใช้เน้นหรือประกอบนาม  ก็ยังจัดเป็นบุรุษสรรพนามอยู่  ไม่จัดเป็นสรรพนามชนิดใหม่  เช่น  เจ้าอาวาสท่านกำลังจำวัด, สุภาเธอช่วยหาหนังสือให้หน่อย, ลิงมันขึ้นต้นไม้



แบบฝึกหัด เรื่อง คำสรรพนาม


ตอนที่  ๒  จงนำตัวอักษรหน้าชนิดของคำนามไปเติมหน้าประโยคให้ถูกต้องตรงตามคำนาม

    ที่พิมพ์ตัวหนา

      ...................๑.  ใครก็ได้ช่วยหยิบไม้บรรทัดให้หน่อย
     ...................๒.  นักเรียนต่างทำการบ้านวิชาภาษาไทย
     ...................๓.  คนที่ตั้งใจเรียนย่อมทำข้อสอบได้
     ...................๔.  นี่คือผลไม้ที่มีรสชาติหวาน  อร่อยที่สุด
     ...................๕.  ใครจะไปดูหนังกับอรพินบ้าง
     ...................๖.  ปิดภาคเรียนนี้ข้าพเจ้าตั้งใจจะเดินทางไปต่างประเทศ
     ...................๗. นักร้องบ้างก็ร้องเพลง  บ้างก็เต้น
      ..................๘.  คุณป้าท่านไปทำบุญที่วัดทุกวันพระ
      ...................๙.  โน่นคือเส้นทางที่เราจะต้องไปให้ถึง
     ...................๑๐.  ชัยณรงค์เขาไม่มาโรงเรียนเพราะไม่สบาย
     ...................๑๑.  ไหน ๆ  ก็มืดค่ำแล้ว  นอนที่นี่สักคืนก็แล้วกัน
     ...................๑๒.  อะไรลอยอยู่มนสระน้ำ
     ...................๑๓  บ้านที่สร้างอยู่ริมน้ำสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง
     ...................๑๔.  คำขวัญที่ได้รัยรางวัลเป็นผลงานของเด็กหญิงอรพิน
     ...................๑๕.  รถชนกันเพราะความประมาท

คำกริยา


คำกริยา  คือ  คำที่แสดงอาการของนามหรือสรรพนาม  หรือแสดงการกระทำของประธานแบ่งออกเป็น  ๔  ชนิด  คือ
                ๑.  กริยาที่ไม่ต้องมีกรรม  (อกรรมกริยา)  คือ  กริยาที่มีความหมายสมบูรณ์ในตังเองไม่ต้องมรกรรมมารองรับ  เช่น  ไก่ขัน, ลมพัด, น้องหัวเราะ, เต่าคลาน
                ๒. กริยาที่ต้องมีกรรม  (สกรรมกริยา)  คือ  กริยาที่ต้องมีกรรมมารับรองจึงจะมีความหมายสมบูรณ์  เช่น  แมงป่องชูหาง, แมลงปอกินยุง, คนสวยปลูกมะพร้าว
                ๓. กริยาที่ต้องมรนามหรือสรรพนามมารับ  แต่ไม่ใช้กรรม เรียกว่ากริยาอาศัยส่วนเติมเต็ม (วิกตรรถกริยา)  คือ  กริยาที่มีความหมายไม่สมบูรณ์ในตนเอง  ต้องมีนามหรือสรรพนามมาขยายจึงจะได้ใจความ  ได้แก่  เป็น  เหมือน  คล้าย  เท่า  คือ  ราวกับ
                เขาคือวีรบุรุษ
                ท่านเหมือนพ่อพิมพ์ของชาติ
                เขาพูดคล้ายนักการเมือง
                                หวัดเป็นโรคติดต่อที่ไม่ร้ายแรง
๔. กริยาช่วย  (กริยานุเคราะห์)  คือ  คำช่วยกริยาที่นำมาใช้เติมหน้าหรือประกอบกริยาหลักให้ได้ความครบถ้วนหรือมีความหมายชัดเจนขึ้น  เช่น  แสดงความบอกเล่าธรรมดา  ความเห็นหรือความประสงค์  ความคาดคะเน  ความเชื่อแน่  ความอ้อนวอน  ความบังคับ  บอกเวลาสมบูรณ์  ปัจจุบัน  อดีต  อนาคต  บอกประธานเป็นผู้กระทำหรือถูกกระทำ
๔.๑  เป็นกริยาช่วยอย่างเดียว  เช่น  ย่อม  กำลัง  จะ  จัก  พึง  ควร  น่า  จง  อย่า
                                คนเราย่อมตาย                                     (บอกความปรกติธรรมดา)
                                เขากำลังเขียนหนังสือ                        (บอกเวลาปัจจุบัน)
เขาจะไปตลาด                                      (บอกเวลาข้างหน้า)
เด็กพึงเชื่อฟังผู้ใหญ่           (บอกความเห็นหรือความประสงค์)
นักเรียนควรออกเสียงภาษาไทยให้ชัดเจน    (บอกความเห็นหรือความประสงค์)
เมืองไทยจงเจริญ                                (บอกความอ้อนวอน)
อย่าเดินเสียงดัง                                   (บอกความบังคับ)
                     ๔.๒  เป็นกริยาต่างจำพวกได้  กริยาช่วยบางตัวถ้าอยู่ลอย ๆ  ไม่ได้ประกอบกริยาอื่นจัดเป็นกริยาไม่ต้องมีกรรม  หรือกริยามีกรรมสุดแต่ใจความ  เช่น
เขาทำงานบ้านอยู่                                (บอกเวลาปัจจุบัน)
                                เขาอยู่บ้าน                                            (กริยาไม่มีกรรม)
                                เขาได้เป็นประธานนักเรียน              (บอกเวลาอดีต)
                                อย่าถูกตัวฉัน                                        (กริยามีกรรม)
                                เขาไปแล้ว                                             (บอกเวลาสมบูรณ์)
                                เขาต้องเรียนหนังสือ                          (บอกความเชื่อแน่หรือความบังคับ)
                                ยาเสพติดถูกทำลาย                             (บอกประธานเป็นผู้ถูกกระทำ)
                กริยานอกจากจะทำหน้าที่แสดงอาการในประโยคโดยตรงแล้ว  ยังอาจทำหน้าที่อื่นได้อีก  เช่น  ทำหน้าที่อย่างวิเศษณ์ขยายนามหรือสรรนาม  และทำหน้าที่ประธานหรือกรรมในประโยคได้อย่างนามหรือสรรพนาม  กริยาชนิดหลังนี้บางท่านเรียกว่า  กริยาสภาวมาลา
                ทำหน้าที่วิเศษณ์  เช่น
                                มะม่วงหล่นมักเน่าง่าย                      (หล่น  ขยายมะม่วง)
                                เขากินมะม่วงสุก                                 (สุก  ขยายมะม่วง)
                ทำหน้าที่ประธานของประโยค  (กริยาสภาวมาลา)
                                เล่นกีฬาทำให้สุขภาพแข็งแรง
                                ดื่มสุราให้โทษแก่ร่างกาย
                ทำหน้าที่กรรมของประโยค  (กริยาสภาวมาลา)
                                ฉันไม่ชอบเล่นกีฬา
                                ฉันไม่ชอบดื่มสุรา



แบบฝึกหัด เรื่อง คำกริยา

คำชี้แจง :  เติมชนิดของคำกริยาที่ขีดเส้นใต้ลงในช่องว่างข้างท้ายให้ถูกต้อง

        ๑. ลูกเศรษฐีชอบครูที่ไม่ดุ  :  .................................................................
       ๒. น้องเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ : ....................................................................
       ๓.  ซินแสสอนวิชาให้ลูกเศรษฐี :  ..........................................................
       ๔.  ครูคนนั้นฉันเข็ดไม่เมตตา :  .............................................................
       ๕.  ซินแสควรได้รับการยกย่องมากที่สุด :  .............................................
       ๖.  ศาลาโรงธรรมเหมือนสถานที่ให้การศึกษา :  ....................................
       ๗.  ศิษย์คนที่ ๑ เลือกฝนทั่งเป็นเข็ม:  ......................................................
       ๘.  พระอาจารย์เป็นผู้ทำนายลักษณะนิสัยของศิษย์ทั้งสามคน :  .............
        ๙. แต่ชาวเราเนาเขตประเทศไทย คงจะไม่พบปะขอประกัน :  ..............
        ๑๐. จุราภรณ์จองที่พักแล้วหรือจ๊ะ :............................................................


คำวิเศษณ์



                คำวิเศษณ์  คือคำขยายหรือประกอบคำอื่นให้มีเนื้อความแปลกออกไป  หรือขยายข้อความนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น  คำที่ใช้วิเศษณ์ประกอบได้มี  นาม  สรรพนาม  กริยา  และวิเศษณ์  ด้วยกัน  เช่น 
                ๑.  ประกอบคำนาม  เช่น  คนอ้วน  ผ้าบาง  ดอกไม้หอม  บ้านใหม่  มะม่วงอ่อน
                ๒.  ประกอบสรรพนาม  เช่น  ท่านทั้งหลาย  ใครบ้าง
                ๓.  ประกอบกริยา  เช่น  พูดเพราะ  เดินช้า
                ๔.  ประกอบวิเศษณ์  เช่น  อากาศร้อนมาก  กินจุมาก  น้ำเย็นจัด
                คำวิเศษณ์แบ่งออกเป็น  ๑๐  ชนิด  คือ
                ๑.  วิเศษณ์บอกลักษณะ  (ลักษณะวิเศษณ์)  เป็นวิเศษณ์ที่บอกลักษณะต่าง ๆ  เช่น  บอกชนิด  สี  เสียง  รสกลิ่น  ขนาด  สัณฐาน  อาการ  ความรู้สึก  เช่น
                                                                บอกสี                                     ขาว  ดำ  แดง
                                                                บอกรส                                  หวาน  ขม  เปรี้ยว
                                                                บอกกลิ่น                               หอม  หืน  เหม็น
                                                                บอกเสียง                               ดัง  แผ่ว  เบา
                                                                บอกขนาด                             ใหญ่  เล็ก  กว้าง
                                                                บอกสัณฐาน                         กลม  แบน  รี
                                                                บอกอาการ                            เร็ว  ไว  ช้า
                                                                บอกชนิด                               ดี  เลว  กลาง
                                                                บอกความรู้สึก                      ร้อน  เย็น  หนาว  อุ่น
คนตัวใหญ่กินจุกว่าคนตัวเล็ก
                                     เขาชอบดื่มนมอุ่น ๆ 
                                    นกยูงเดินกรีดกราย
                ๒.  วิเศษณ์บอกเวลา  (กาลวิเศษณ์)  เช่น  เช้า  สาย  บ่าย  เย็น  เที่ยง  ค่ำ  อดีต  ปัจจุบัน  อนาคต  ก่อน  หลัง  นาน  เร็ว  เป็นต้น
                                คนโบราณไม่ชอบนอนดึก  แต่ชอบตื่นเช้า
                                เขาอาบน้ำนานกว่าคนอื่น ๆ 
                                เขากลับไปก่อน  ฉันกลับที่หลัง
                ๓.  วิเศษณ์บอกสถานที่  (สถานที่วิเศษณ์)  เช่น  ใกล้  ไกล  ห่าง  บน  ล่าง  เหนือ  ใต้  บก  น้ำ  ซ้าย  ขวา  เป็นต้น
      วิเศษณ์บอกสถานที่  ถ้ามีคำนามหรือสรรพนามตามหลังจะกลายเป็นบุพบท  เช่น 
                                แม่ยืนใกล้ฉัน       แจกันอยู่บนหิ้ง    นกเขาบนกิ่งไม้
              ๔.  วิเศษณ์บอกปริมาณหรือจำนวน  (ปริมาณวิเศษณ์)  เช่น  มาก  น้อย  หนึ่ง  สอง  สาม  ที่หนึ่ง  ที่สอง  หลาย  ทั้งหลาย  หมด  บรรดา  บ้าง  บาง  จุ  คนละ  ต่างกัน
                                                เขามีที่ดินหลายร้อยไร่
                                                เงินทั้งหมดเป็นของกองทุนหมู่บ้าน
                                                เขาเลี้ยงสุนัขหนึ่งตัว
              ๕.  วิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ  (นิยมวิเศษณ์)  เช่น  นี่  นี้  นั้น  โน้น  ทั้งนี้  ทั้งนั้น  อย่างนั้น   อย่างนี้  ดังนั้น  เอง  เฉพาะ  เทียว  ดอก  แน่นอน  จริง  เจียว
                                                หัวหน้าคนนี้  พูดจริง  ทำจริง  และมีใจแน่นอน
                                                เขาทำกับข้าวเอง
                                                บ้านนั้นมีคนอยู่หลายคน
                ๖.  วิเศษณ์บอกความไม่ชี้เฉพาะ  (อนิยมวิเศษณ์)  อะไร  ไหน  ใย  ใด  อย่างไร
                                                สิ่งใดมีคุณอนันต์  สิ่งนั้นมีโทษมหันต์
                                                เธอจะมาหาฉันเมื่อไรก็ได้
                                                ใคร ๆ  ก็รักเธอทั้งนั้น
              ๗.  วิเศษณ์แสดงคำถาม  (ปฤจฉาวิเศษณ์)  เช่น  ทำไม  หรือ  อะไร  ไหน  กี่  ไหม  อันใด  อย่างไร  สิ่งใด
                                                เธอจะไปไหน
                                                เธอรู้ไหมเขาจะกลับมากี่โมง
                                                เมื่อรู้เรื่องแล้วคุณจะทำอย่างไร
                ๘.  วิเศษณ์แสดงคำขานรับหรือโต้ตอบ  (ประติชญาวิเศษณ์)  เช่น  ครับ  ขอรับ  ขา  คะ  ค่ะ  จ๋า  จ๊ะ  โว้ย
                                                คุณยายครับ  ผมกลับมาแล้วครับ
                                                พี่มาลีขา  ช่วยสอนการบ้านหน่อยค่ะ
                                                นิดเอ๊ย  ช่วยหยิบกระเป๋าให้หน่อย
          ๙.  วิเศษณ์แสดงความปฏิเสธหรือไม่ยอมรับ  (ประติเษธวิเศษณ์)  เช่น  ไม่  ไม่ใช่  มิใช้  มิได้  หามิได้  หาไม่  อย่า  บ่  บ่ใช่
                                                เขาไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายในบ้าน
                                                กระเป๋านี้ไม่ใช่ของฉัน  ฉันจึงเอาไปไม่ได้
                                                เธออย่าเปิดไฟทิ้งไว้
         ๑๐.  วิเศษณ์เชื่อมประโยค  (ประพันธวิเศษณ์)  ใช้ประกอบคำกริยาหรือคำวิเศษณ์  เพื่อเชื่อมประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน  เช่น  ที่  ซึ่ง  อันอย่าง  ชนิดที่  ที่ว่า  เพื่อว่า  ให้
                                                เขาพูดให้ฉันตายใจ
                                                เขาเป็นคนเก่งที่น่ายกย่อง
                                                วิชาความรู้มีค่ามากซึ่งมิอาจประเมินค่าได้
                        คำ  ที่  ซึ่ง  อัน  เป็นคำที่ใช้ซ้ำกับประพันธสรรพนาม  มีวิธีสังเกต  ดังนี้
                       ที่  ซึ่ง  อัน  ที่เป็นประพันธสรรพนามจะใช้แทนนามที่อยู่ข้างหน้า  จะวางติดกับนามหรือสรรพนามที่จะเป็นประธานของคำกริยาที่ตามมาข้างหลัง  เช่น  คนที่เดินอยู่นั้นเป็นเพื่อนฉัน  ครูซึ่งอบรมสั่งสอนนักเรียนควรได้รับการสรรเสริญ  เขาต้องจากพ่อแม่อันเป็นที่รักไปศึกษาต่อ

                    ส่วน  ที่  ซึ่ง  อัน  ที่เป็นประพันธวิเศษณ์  จะวางติดกับคำกริยาหรือคำวิเศษณ์  แต่จะไม่วางติดกับคำนามหรือคำสรรพนาม  เช่น  เขาเป็นคนดีที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง  ยาสมุนไพรเป็นของดีซึ่งควรแก่การสนับสนุน